
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา โดย หลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงนวัตกรรมการจัดการสุขภาพยุคดิจิทัล (HIDA) รุ่นที่ 5 ได้จัดการบรรยายพิเศษเพื่อให้ผู้เข้าเรียนได้ศึกษาและทำความเข้าใจในองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างรอบด้าน
โดยการเรียนในวันนี้เริ่มต้นด้วย HIDA TALK:🗣️ กับ คุณธรรศ ชูพาพงษ์ กรรมการบริหารโรงพยาบาลวรรณสิริประเทศไทย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง ที่มาเล่าข้อมูลในเรื่องของวิทยาการการศัลยกรรมและความก้าวหน้าขององค์ความรู้ด้านนี้ พร้อมย้ำว่า
“Your Look, Your Future” “เพราะความงาม เปลี่ยนอนาคตคุณได้” ความงาม ไม่ใช่แค่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตา แต่ยังรวมไปถึงเรื่องสุขภาพที่ดีจากภายใน ส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง ทั้งยามติดต่อพบปะผู้คน เข้าสังคม หรือทำงาน ผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองสูงกว่า ย่อมสามารถสร้างความประทับใจ และเปิดโอกาสให้ตนเองได้มากกว่า
จากนั้น เป็นการบรรยายในหัวข้อ “สำรับอาหารไทยคือยา”โดย อาจารย์แพทย์แผนไทย คมสัน ทินกร ณ อยุธยา
แพทย์แผนไทยประจําคลินิกการแพทย์แผนไทย หม่อมราชวงศ์สอาด ทินกร ซึ่งสรุปได้ว่า…เราต้องแยกให้ชัดว่า “อาหารคืออาหาร ยาคือยา” เพราะโดยหลักแล้ว “อาหารไม่ใช่ยา” จึงไม่ควรใช้คำว่า กินอาหารเป็นยา แบบเหมา ๆ เพราะอาหารมีหน้าที่หล่อเลี้ยง ส่วนยามีหน้าที่รักษา ซึ่งต้องมีข้อบ่งใช้ ขนาด และวิธีให้ที่ถูกต้อง ไม่ใช่กินเหมือนอาหารประจำวันไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็น “กินยาเป็นอาหาร”
ทั้งนี้ถ้า “จะให้อาหารทำหน้าที่แบบยา” ต้องทำให้ถูกหลักแพทย์แผนไทยคือ 1) รู้ธาตุเจ้าเรือน สมดุลร้อน–เย็นของตน 2) เลือกวัตถุดิบ และวิธีปรุงให้เหมาะธาตุและฤดูกาล 3) จัดเวลา–ปริมาณเหมือน “การจ่ายยา” ไม่ใช่กินสุ่มสี่สุ่มห้า และ 4) ใช้ “กระสายยา” หรือเครื่องดื่มประกอบให้ถูกกับสรรพคุณอาหาร และยาในมื้อ เราต้องเลือก “ของร้อน–ของเย็น” ให้เป็นยาเพื่อปรับสมดุล ผ่านเมนูอาหารและเครื่องดื่มประจำวัน, และจัดมื้อ–เครื่องดื่มกระสายก่อน ระหว่าง หลังอาหาร ให้สัมพันธ์กับอาการและธาตุ
อาจารย์แพทย์แผนไทย คมสัน กล่าวตอนท้ายว่าข้อควรระวังสำคัญตามแนวคิด “ไม่กินยาเป็นอาหาร”ว่า สมุนไพรหรือยาหม้อใด ๆ ไม่ควรกินเป็นประจำยาว ๆ โดยไม่มีข้อบ่งชี้ หรือการวินิจฉัย เพราะ “ยาคือยา” อาจทำให้เสียสมดุลธาตุหรือเกิดผลข้างเคียงได้ จึงควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์แผนไทย หรือผู้มีใบประกอบฯ
ปิดท้ายรายการด้วยการบรรยายในหัวข้อ “แนะนำศาสตร์การแพทย์แผนจีน”โดย ดร. แพทย์จีน เยาวเกียรติ เยาวพันธุ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การแพทย์แผนจีน คลีนิคการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว
ดร.เยาวเกียรติ อธิบายว่า การแพทย์แผนจีนเชื่อว่าความสมดุลของ หยิน–หยาง และ ธาตุทั้งห้า (หัวใจ ม้าม ปอด ตับ และไต) เป็นปัจจัยสำคัญในการคงไว้ซึ่งสุขภาพ หากเกิดการพร่องหรือแกร่งเกินไป ย่อมก่อให้เกิดโรคได้ ตัวอย่างเช่น
หัวใจ : หากผิดปกติจะมีอาการใจสั่น หายใจติดขัด หรือกระวนกระวาย ควรบำรุงด้วย เม็ดบัว
ม้าม : เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหารและการหมุนเวียนเลือด หากพร่องจะทำให้เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ควรบำรุงด้วย พุทราจีน
ปอด : หากเสียสมดุลจะทำให้ไอ หอบ หรือเป็นหวัดง่าย อาหารที่ช่วยได้คือ แปะฮะ
ตับ : เกี่ยวข้องกับสายตาและอารมณ์ หากไม่สมดุลจะทำให้ตาแห้ง อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย ควรบำรุงด้วย เก๋ากี้
ไต : หากพร่องอาจทำให้ปวดหลัง อ่อนเพลีย หรือมีปัญหาการขับถ่าย ซึ่งการบำรุงไตตามศาสตร์จีนจะช่วยฟื้นฟูสมดุลได้
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง อวัยวะกลวง เช่น ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะ ตลอดจนการป้องกัน 6 พิษจากภายนอก ได้แก่ ลม เย็น ร้อนอบอ้าว ชื้น แห้ง และไฟ โดยแนะนำสมุนไพรที่ช่วยป้องกันได้ เช่น สาระแหน่ ขิง ถั่วเขียว ลูกเดือย สาลี และแตงโม
การบรรยายครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้ผู้เข้าร่วมโครงการ HIDA รุ่นที่ 5 ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์จีน เพื่อนำความรู้ไปปรับใช้กับการดูแลตนเองและต่อยอดสู่การทำงานในอนาคต
สำหรับ หลักสูตร HIDA รุ่นที่ 5 มี ดร.สมชาย อัศวเศรณี เป็นประธานหลักสูตร และ พล.อ.ต.(ญ) ผศ.ดร.พัชรี พิพิธสุขสันต์ เป็นผู้อำนวยการหลักสูตร โดยบูรณาการศาสตร์การแพทย์ 6 มิติ ได้แก่ แพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน ดุลยภาพบำบัด โฮมีโอพาธีย์ และศาสตร์แห่งความสุข เพื่อสร้างผู้บริหารที่พร้อมนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้พัฒนาระบบสุขภาพไทยอย่างยั่งยืน
ผู้สนใจเข้าเรียนหลักสูตร HIDA สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line: hida official โทร. 083-015-3333 หรืออีเมล hidassru@ssru.ac.th